บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระพุทธเจ้าเสนอหลักอนัตตา


เมื่อ ดร. สมบูรณ์ วัฒนะเริ่มบทนำไปแล้ว จึงเริ่มเข้าเนื้อหาของบทความ ดังนี้

นิพพาน: สิ่งสัมบูรณ์ในพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกในประเทศอินเดียเมื่อ 2600 ปี มาแล้ว มีพระศาสดาพระนามว่าสมณโคดม

พระองค์ได้ประกาศคำสอนของพระองค์ อย่างองอาจท้าทายแนวความคิดเดิมของศาสนาพราหมณ์ในยุคนั้น

นั่นคือเรื่องอาตมัน ภาวะแห่งความมีตัวตนที่อมตะ โดยพระองค์ได้เสนอหลักอนัตตา กล่าวคือความเป็นสิ่งไร้ซึ่งตัวตนของสรรพสิ่ง

ตรงนี้ ผมขอฟันธงและ confirm เลยว่า ดร. สมบูรณ์เป๋ไปตามปรัชญาเสียแล้ว คือ "มั่ว" ไปเสียแล้ว

หลักฐาน

เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนธัมมจักกัปปวัตนสูตรให้พราหมณ์ทั้งห้านั้น  พราหมณ์ทั้งห้าได้ผลของการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงมี "ดวงตาเห็นธรรม

ไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะติดอยู่กับอัตตาแบบพราหมณ์  ไม่ใช่อัตตาแบบพุทธ

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน "อนัตตลักขณสูตร" เพื่ออธิบายว่า ขันธ์ห้าเป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา พราหมณ์ทั้งห้า จึงบรรลุพระอรหันต์

เพื่อให้หลักฐานของผมแน่นอนแน่นหนา ผมจึงขอยกอนัตตลักขณสูตร ดังนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร

[๒๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณเป็นอนัตตา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนี้ จักได้เป็นอัตตาแล้ว  รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนี้ ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ

และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด  รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์

[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ

[๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ

เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

ขอให้พิจารณาอ่านดู เมื่อพราหมณ์ทั้งห้า ติดอยู่กับอัตตาแบบพราหมณ์ คือ คิดว่ามี “คนตัวเล็กๆ” อยู่ในกายมนุษย์

เมื่อมนุษย์ตาย  อัตตาที่เป็นคนตัวเล็กๆ ก็ไปหาที่เกิดอีก คงที่อย่างนี้ตลอดไป

พระพุทธเจ้าพบว่า ความเชื่ออัตตาแบบพราหมณ์นั้นผิด  พระองค์ก็สอนว่า ขันธ์ห้าเป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา

พระองค์ไม่เคยเสนอหลัก "อนัตตา" อย่างที่พุทธวิชาการมาชูประเด็นกัน เนื่องจากไปเชื่อวิทยาศาสตร์

แล้วทะลึ่งไปเชื่อว่า ชาติหน้าไม่มี

มนุษย์เกิดมาด้วย "อุบัติการณ์" ทางวิทยาศาสตร์  ถ้า "นิพพานมีอยู่" ก็ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ จึงต้องกำจัดนิพพานทิ้งไปเสีย

ในทางวิทยาศาสตร์พวกนี้ หาหลักฐานมาสนับสนุนไม่ได้ จึงอาศัยการตีความ “ทางปรัชญา” แทน

พวกนี้ ตายแล้วไปอบายภูมิกันเยอะแยะ พวกผมเคยตรวจสอบด้วยวิชาธรรมกายแล้ว ต้องถืออุเบกขา

คนอื่นๆ นะครับที่เขาถืออุเบกขา  แต่ผมเองนี่ "สะใจพิลึก"

พระพุทธเจ้าท่านเสนอหลัก "อริสัจ 4", "มรรค 8”, "ปฏิจจสมุปบาท" ฯลฯ แต่ไม่ใช่แค่หลักอนัตตา

ถ้าตั้งข้อสงสัยว่า ในพระไตรปิฎก ยืนยันว่าในยุคนั้นพระองค์ทรงสอนเรื่อง "อนัตตา" เป็นจำนวนมาก

คำตอบก็คือ ก็คนยุคนั้น เป็นคนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกันทั้งนั้น  ก็ติดอยู่กับอัตตาแบบพราหมณ์

ไม่ใช่อัตตาแบบพุทธ อย่างเช่นพราหมณ์ทั้งห้าเช่นเดียวกัน

แต่เชื่อผมเถอะ พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ 4 มากกว่าพระไตรลักษณ์

เมื่อเข้ามาถึงยุคแม่นาก ยุคปอบ ยุคเปรตมือเท่าใบตาลในเมืองไทยนี้  อนัตตลักขสูตรแทบจะไม่จำเป็นสำหรับคนไทยเลย

คนไทยเข้าใจประเด็นที่เกี่ยวกับอนิจจัง ทุกขังเป็นอย่างดี อนัตตายากหน่อย  ไปหาอ่านได้ตามวรรณคดี ตามเพลง 

ยังมีคำอุทานว่า "อนิจจัง อนิจจา" เลย 

พวกคลั่งไคล้อนัตตานี่  ทำไม "โง่" หลงยุคนักก็ไม่รู้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น