เนื้อหาบทความของ
ดร. สมบูรณ์ วัฒนะต่อไป มีดังนี้
พระองค์ประกาศคำสอนมากมาย ซึ่งก็ล้วนแต่มีพื้นฐานอยู่บนหลักอนัตตานี้
ว่ากันว่าในสมัยพุทธกาลนั้น ไม่มีใครที่จะสามารถท้าทายบุญบารมีของพระพุทธองค์ได้เลย
ทั่วชมพูทวีปล้วนได้รับน้ำอมฤตธรรมที่พระองค์ทรงรินหลั่งไหลให้ได้ดื่มด่ำกันถ้วนหน้า
|
ขอให้ผู้อ่านสังเกตให้ดีว่า
ดร. สมบูรณ์เขียนอยู่บ่อยว่า "หลักอนัตตา" ราวกับว่า หลักอนัตตานี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่รู้กันทั่วไป
จริงๆ
แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย..
ประเด็นอย่างนี้
ดร. สมบูรณ์ควรอธิบายให้ชัดเจนว่า "หลักอนัตตา"
ของท่านเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ตีขลุมเอาอย่างนี้
คำสอนของพระองค์นั้น
ผมยืนยันว่า "ไม่ได้อยู่บนหลักอนัตตา"
อย่างที่ ดร. สมบูรณ์พยายามโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อ
ผมยังยืนยันว่า
คำสอนของพระพุทธองค์ที่สำคัญๆ ก็คือ อริยสัจ
4 มรรค 8 ปฏิจจสมุปบาท
พระองค์ยังมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
กล่าวคือพระองค์ได้ส่งสาวกออกไปประกาศอมฤตธรรมที่พระองค์ค้นพบไปยังหลายๆ
ประเทศ เพื่อปลดเปลื้องมวลมนุษยชาติให้พ้นจากความทุกข์
จุดหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมของพระองค์ คือ
การหลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง และรู้แจ้งเห็นจริงในความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง
เป็นต้น ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า นิพพาน
|
ขอให้สังเกตข้อความที่ผมขีดเส้นไว้ให้มาก
ตรงนี้ ในทางการเมืองเขาเรียกว่า "ให้ความจริงครึ่งเดียว"
มีความเท็จอีกครึ่งหนึ่ง
การหลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า
นิพพาน
|
ตรงนี้จริง
และรู้แจ้งเห็นจริงในความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง เป็นต้น ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า
นิพพาน
|
ตรงนี้ไม่จริง
ผมขอยกท่อนสุดท้ายของอนัตตลักขณสูตรที่ยกมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง
ดังนี้
เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
|
ข้อความที่ว่า
"นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา" แสดงว่า
ตนของเราหรืออัตตาของเรามี
ตรงนี้ถ้า
ดร. สมบูรณ์มีความรู้แม่นตรงจริง ก็ต้องยกอนัตตลักขณสูตรในส่วนที่ผมยกมา
แล้วอธิบายหักล้างให้ได้ว่า "ความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง"
นั้นเป็นอย่างไร
ส่วนผมยืนยันว่า
ตัวตนของเรามี หรืออัตตาของเรามีนั้น ผมขอยกหลักฐานในพระไตรปิฎกเพียงบางส่วน
ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม30 หน้าที่ 395
๙.คิลานสูตร
ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[๗๑๑] ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ
จงมีธรรมเป็นเกาะ
มีธรรมเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด
พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา
อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา
"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง
มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด
|
ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อประเทืองปัญญาพวกพุทธวิชาการที่คลั่งไคล้
“หลักอนัตตา” สักเล็กน้อย
ตน-อัตตาของเรามี
แต่ยังเป็นตนโลกียะ ยังต้องปรุงแต่งอยู่
ตน-อัตตานี้
เมื่อปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกายนี้ แค่เพียงวิชา 18 กาย
ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร
ตน-อัตตาโลกียะนี้
ทำวิชา 18 กายของวิชาธรรมกายได้ ก็ "รู้"
และ "เห็น" ได้ตามความเป็นจริงแล้ว จะลองทำกันไหมเล่า..
อยากจะพิสูจน์กันไหมเล่า...
หรือยินดีที่จะนั่งหลับหูหลับตาคิดตามหลักของเหตุผลต่อไป พระพุทธองค์ทรงสอนให้ “รู้” ให้ “เห็น”
คำว่า
“ญาณทัสสนะ” ก็เป็นหลักฐานอันดี “ญาณ” แปลว่า “รู้” ส่วนคำว่า “ทัสสนะ” แปลว่า “เห็น”
หันหลังให้คำสอนของพระพุทธองค์
ไปสมาทานคำสอนของปรัชญา ไม่ยอมรู้เห็น คิดตามหลักเหตุผลอย่างเดียว
แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น
จะเข้าใจศาสนาพุทธอย่างถูกต้องอย่างไร...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น