บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ไร้ตัวตนหรืออัตตาคือนิพพาน


เนื้อหาบทความของ ดร. สมบูรณ์ วัฒนะต่อไป มีดังนี้

พระองค์ประกาศคำสอนมากมาย ซึ่งก็ล้วนแต่มีพื้นฐานอยู่บนหลักอนัตตานี้

ว่ากันว่าในสมัยพุทธกาลนั้น ไม่มีใครที่จะสามารถท้าทายบุญบารมีของพระพุทธองค์ได้เลย

ทั่วชมพูทวีปล้วนได้รับน้ำอมฤตธรรมที่พระองค์ทรงรินหลั่งไหลให้ได้ดื่มด่ำกันถ้วนหน้า

ขอให้ผู้อ่านสังเกตให้ดีว่า ดร. สมบูรณ์เขียนอยู่บ่อยว่า "หลักอนัตตา"  ราวกับว่า หลักอนัตตานี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่รู้กันทั่วไป

จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย..

ประเด็นอย่างนี้ ดร. สมบูรณ์ควรอธิบายให้ชัดเจนว่า "หลักอนัตตา" ของท่านเป็นอย่างไร  ไม่ใช่ตีขลุมเอาอย่างนี้

คำสอนของพระองค์นั้น ผมยืนยันว่า "ไม่ได้อยู่บนหลักอนัตตา" อย่างที่ ดร. สมบูรณ์พยายามโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อ

ผมยังยืนยันว่า คำสอนของพระพุทธองค์ที่สำคัญๆ ก็คือ  อริยสัจ 4 มรรค 8 ปฏิจจสมุปบาท

พระองค์ยังมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล

กล่าวคือพระองค์ได้ส่งสาวกออกไปประกาศอมฤตธรรมที่พระองค์ค้นพบไปยังหลายๆ ประเทศ เพื่อปลดเปลื้องมวลมนุษยชาติให้พ้นจากความทุกข์

จุดหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมของพระองค์ คือ

การหลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง และรู้แจ้งเห็นจริงในความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง เป็นต้น ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า นิพพาน

ขอให้สังเกตข้อความที่ผมขีดเส้นไว้ให้มาก ตรงนี้ ในทางการเมืองเขาเรียกว่า "ให้ความจริงครึ่งเดียว" มีความเท็จอีกครึ่งหนึ่ง

การหลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า นิพพาน

ตรงนี้จริง

และรู้แจ้งเห็นจริงในความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง เป็นต้น ภาวะที่หลุดพ้นนี้เรียกว่า นิพพาน

ตรงนี้ไม่จริง

ผมขอยกท่อนสุดท้ายของอนัตตลักขณสูตรที่ยกมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

ข้อความที่ว่า "นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา" แสดงว่า ตนของเราหรืออัตตาของเรามี

ตรงนี้ถ้า ดร. สมบูรณ์มีความรู้แม่นตรงจริง ก็ต้องยกอนัตตลักขณสูตรในส่วนที่ผมยกมา แล้วอธิบายหักล้างให้ได้ว่า "ความไร้ตัวตนหรืออัตตาของสรรพสิ่ง"  นั้นเป็นอย่างไร

ส่วนผมยืนยันว่า ตัวตนของเรามี หรืออัตตาของเรามีนั้น ผมขอยกหลักฐานในพระไตรปิฎกเพียงบางส่วน ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม30 หน้าที่ 395

๙.คิลานสูตร  ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[๗๑๑]  ดูก่อนอานนท์  เพราะฉะนั้นแหละ  เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง  คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ  มีธรรมเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด

พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด

ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อประเทืองปัญญาพวกพุทธวิชาการที่คลั่งไคล้ “หลักอนัตตา” สักเล็กน้อย

ตน-อัตตาของเรามี แต่ยังเป็นตนโลกียะ ยังต้องปรุงแต่งอยู่ 

ตน-อัตตานี้ เมื่อปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกายนี้ แค่เพียงวิชา 18 กาย ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร

ตน-อัตตาโลกียะนี้ ทำวิชา 18 กายของวิชาธรรมกายได้ ก็ "รู้" และ "เห็น" ได้ตามความเป็นจริงแล้ว  จะลองทำกันไหมเล่า..

อยากจะพิสูจน์กันไหมเล่า...

หรือยินดีที่จะนั่งหลับหูหลับตาคิดตามหลักของเหตุผลต่อไป  พระพุทธองค์ทรงสอนให้ “รู้” ให้ “เห็น” 

คำว่า “ญาณทัสสนะ” ก็เป็นหลักฐานอันดี  “ญาณ” แปลว่า “รู้”  ส่วนคำว่า “ทัสสนะ” แปลว่า “เห็น”

หันหลังให้คำสอนของพระพุทธองค์ ไปสมาทานคำสอนของปรัชญา ไม่ยอมรู้เห็น คิดตามหลักเหตุผลอย่างเดียว 

แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าใจศาสนาพุทธอย่างถูกต้องอย่างไร...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น