บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ละ โลภ โกรธ หลงก็ไปนิพพานได้


เนื้อหาในส่วนนี้ จะนำข้อความของดร. สมบูรณ์ วัฒนะ ที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วในบทความ “นิพพานไม่มีอยู่จริง” มาวิพากษ์วิจารณ์ ให้ลึกลงไปในรายละเอียด

ขอกลับมาที่ย่อหน้าที่ 2 ในส่วนของ “นิพพานไม่มีอยู่จริง” ที่ ดร. สมบูรณ์เขียนดังนี้

2) ภาวะที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ ภาวะจริงแท้สูงสุด หรือสิ่งสัมบูรณ์ที่บัญญัติ และตรรกใดๆ เข้าถึงไม่ได้ อยู่เหนือกิเลส กรรม และวิบาก

ตรงนี้ ดร. สมบูรณ์พยายามอธิบายว่า ภาวะนิพพานนั้น ปราศจากความโลภ โกรธ หลง ถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างจริงจังว่า ข้อเขียนของ ดร. สมบูรณ์ วัฒนะ ในส่วนนี้ ถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันยาวเลยทีเดียว

เพราะ ข้อเขียนนี้ “หมกเม็ด” อะไรหลายๆ อย่างไว้

ในทางการเมือง ในส่วนที่เป็น “ภาษาการเมือง” ท่านเรียกข้อเขียนแบบนี้ว่า “ความจริงครึ่งเดียว”  เจ้าความจริงครึ่งเดียวนี้  หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ยิ่งกว่าการ “โกหก” เสียอีก

เพราะ ความจริงครึ่งเดียวเป็น “ความเท็จที่เคลือบด้วยความจริง”  ซึ่งทำให้ผู้คนหลงเชื่อกันมามากมายแล้ว 

เป็นยาพิษในคราบของขนมหวาน ว่าอย่างนั้นเถอะ

ถ้าถามกันอย่างซื่อว่า “นิพพานมี ความโลภ ความโกรธ ความหลงหรือไม่ คำตอบที่ตรงๆ ก็คือ “ไม่มี”

แต่การที่พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรมจนกระทั่ง “ความโลภ ความโกรธ ความหลง”  หมดสิ้นไปจากใจ  อย่างสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ  ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านั้น บรรลุเป็นพระอรหันต์ ไปอุบัติอยู่บนอายตนะนิพพานกันหมด

เพราะ โลภ โกรธ หลง เป็นกิเลสหยาบๆ เท่านั้น

กิเลสทั้งหมดไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียด ใครก็ตาม “ละ” ออกไปจากใจได้  ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้   ทำได้แต่เพียงเป็นโคตรภูบุคคลเท่านั้น

เมื่อใดก็ตามโคตรภูบุคคลเหล่านั้น ละสังโยชน์ 10 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท  รูปราคะ  อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะ และ อวิชชา หมดจด เด็ดขาด จึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์

ถ้าได้เพียงบางส่วน ก็ยังเป็นพระอริยะบุคคลอยู่ คือ อาจจะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี หรือพระอนาคามี ต่อเมื่อละสังโยชน์ 10 ได้ จึงจะเป็นพระอรหันต์

จากคำอธิบายที่ยกมาทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่า การเป็นนักปรัชญาแล้วมาศึกษาศาสนาพุทธนั้น  พุทธวิชาการเหล่านั้น มีเทคนิคมากมายในการที่โน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อความคิดของพวกเขาเหล่านั้น

พุทธวิชาการที่เป็นพระภิกษุ และศึกษาปรัชญาอย่างหลงงมงาย  งมงายว่าปรัชญาเลิศประเสริฐสุด แล้วมาตีความพระไตรปิฎกให้ผิดเพี้ยนไปตามปรัชญา

ภิกษุกลุ่มนี้  น่าตักบาตรท่านเหล่านั้นอยู่หรือไม่

ท่านทั้งหลาย  หรือเราจะ Vote No การใส่บาตรกับพระเหล่านี้ดูสักพักหนึ่ง  เพื่ออยากจะรู้ว่า  “ท่านจะกลับเนื้อกลับตัวได้หรือไม่?



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น